Thursday, 5 March 2015

การมีห้างเยอะเกินไป ไม่ดีกับบ้านเมืองจริงเหรอ?

ระยะหลัง ๆ นี้ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดได้มีการเปิดห้าง ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก จึงเริ่มมีกระแสที่มีคนออกมาบอกว่า "ห้างเริ่มเยอะเกินไปละ" บางคนที่โลกสวยหน่อยก็อาจจะพูดว่า "ห้างเยอะมาก พื้นที่สีเขียวให้หายใจแทบจะไม่เหลือ" ส่วนบางคนเองก็อาจจะลามปามยกเคสต่างประเทศออกมาพูดว่า "ไม่เห็นประเทศที่เจริญแล้วเขามีห้างเลย มีแต่สวนสาธารณะ" หรือแม้กระทั่งคนกรุงเทพที่ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วพูดว่า "ไปที่ไหนก็เจอแต่ห้างสไตล์กรุงเทพ ทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่นหมด"

ลาน Outdoor ห้างพรอมมินาด้า เชียงใหม่ (ที่มาภาพ)
ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะว่าศูนย์การค้า หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันรวม ๆ ว่า "ห้าง" กลับถูกยกให้เป็นศัตรูกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ และบางคนอาจจะยกให้ห้างเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความไม่เจริญของประเทศไทย

ซึ่งในความจริงแล้วมันไม่ใช่

หากลองชั่งน้ำหนักดูและเปรียบเทียบข้อดีกับข้อเสีย ศูนย์การค้าและพวกคอมมิวนิตี้มอล มีข้อดีเยอะกว่าข้อเสียพอสมควร เพราะว่าหากมองจากมุมมองผู้ออกแบบผังเมือง คุณสมบัติหลักของห้างคือมันเป็นศูนย์กลางให้กับชุมชน (town centre) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังพัฒนาที่ยังมีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับกิจกรรมของชุมชนและการวางผังเมืองที่ไม่ดีพอ


La Ramblas ถนนหลักของกรุงบาร์เซโลน่า คาตาลุนย่า สเปน
เคยสังเกตไหมครับ ว่าทำไมเมืองนอกเขามีพวกถนนช็อปปิ้ง (high street) หรือพวกจัตุรัสกลางเมือง (city square) ที่ผู้คนในเมืองต่างก็ออกมาเดินเล่น ซื้อของบ้าง ออกมาหาของกินบ้าง แต่ทำไมเมืองไทยเราถึงไม่ค่อยมี ประเด็นนี้มีเหตุผลหลักสองอย่าง อย่างแรกคือเมืองไทยไม่ได้มีการวางผังเมืองในประเด็นนี้อย่างรอบคอบมานาน ถ้าจะมามีตอนนี้ก็อาจจะสายไปแล้ว (เพราะเริ่มมีห้างแล้ว...) ทางเท้าเราเล็กมาก และถ้าจะเปลี่ยนให้ถนนทั้งเส้นเป็นถนนคนเดิน ประชาชนก็ต้องมายุ่งกับเรื่องหาที่จอดรถ ซึ่งผังเมืองห่วยแตกของเราก็ทำให้รัฐไม่มีพื้นที่เพื่อการพัฒนาพื้นที่จอดรถสาธารณะให้กับประชาชน ฉะนั้นศูนย์กลางชุมชนโดยนิยามแล้วในเมืองไทยจะเหลือเพียงแค่ตลาดสด หรือตลาดนัดเท่านั้น

Federation Square ในกรุงเมลเบิร์น, ออสเตรเลีย
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นสภาพอากาศเขตร้อนชื้นของเรา ซึ่งไม่ค่อยอำนวยต่อการดึงดูดให้ประชาชนสนใจในการออกมาเดินเล่นกลางแจ้ง ทำให้การพัฒนาพื้นที่สาธารณะให้ออกมาเป็นจัตุรัสกลางเมืองมันดูคุ้มค่า ทุกวันนี้ลองดูลานหน้าเซ็นทรัลเวิร์ลหรือสยามพารากอนก็คงจะนึกออกนะครับ ถ้าไม่มีผ้าร่ม หรือถ้าไม่จัดงานตอนกลางคืน แทบจะไม่มีคนเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามที่ว่ามานี้มันก็ขึ้นกับวัฒนธรรมด้วย คนไทยอาจจะกลัวดำ แต่ประเทศร้อนชื้นอื่น ๆ อย่างบราซิลเอง ก็มีจัตุรัสกลางเมืองย่านช็อปปิ้งมากมาย ซึ่งส่วนนี้อาจจะต้องยกให้อิทธิพลทางวัฒนธรรมที่มาจากทางยุโรป

ศูนย์การค้า ซึ่งเป็นนวัตกรรมจากอเมริกา จึงได้มาเติมเต็มส่วนที่เราขาดไป มาแทนที่ถนนช็อปปิ้งและจัตุรัสกลางเมือง มารับหน้าที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนให้แทน เวลาเราเจอเพื่อนหรือนัดเจอคนรู้จัก ส่วนใหญ่แล้วคำตอบเราก็คงหนีไม่พ้นการนัดเจอกันในห้างใช่ไหมล่ะครับ? (ยกเว้นพวกฮิปสเตอร์)

ส่วนประเด็นเรื่อง "ห้าง" -vs- "สวนสาธารณะ" นี่ หากดูจากเคสของเมืองไทย เรื่องนี้มันอยู่ที่ว่ารัฐจะยอมเอาเงินออกมาจ่ายเพื่อซื้อที่ หรือเวนคืนที่ดินผืนที่จะกลายเป็นห้างคืนมาทำเป็นสวนให้ประชาชนไหม? เพราะมันเป็นเรื่องปรกติที่ที่ดินที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ย่อมถูกพัฒนาเพื่อนำมาต่อยอดทางธุรกิจ มากกว่าการทำให้ชุมชนโดยไม่สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้ ซึ่งเรื่องนี้อาจจะต้องโทษเหตุการณ์ในเมืองไทย ที่ทำให้รัฐแทบไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองเหลืออยู่เลย ต่างกับในยุโรปที่รัฐบาลเองไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติถือที่ดินไว้ในมือเยอะมาก

อาคารจอดรถสาธารณะที่รัฐบาลก่อสร้างไว้ให้ประชาชนได้ใช้
คือหนึ่งในสิ่งที่เราแทบไม่เห็นในเมืองไทย เพราะรัฐไม่มีที่ดินเหลือในเมือง
เรื่องนี้ผมเลยค่อนข้างนับถือความอินดี้ของคุณชูวิทย์ ที่ยอมเอาที่ดินของตัวเองมาเปิดเป็นสวนสาธารณะเล็ก ๆ ให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะการยกที่ดินส่วนตัวมาให้ประชาชนใช้ของเฮียชู ก็เพื่อต่อยอดอนาคตการเมืองหรือธุรกิจของเฮียอยู่ดี

อีกอย่าง การพัฒนาห้างกับพื้นที่สาธารณะที่มีผืนต้นไม้เยอะ ๆ มาก ๆ จริง ๆ แล้วก็สามารถทำได้ ความเจริญไม่ได้หมายความว่าพื้นที่สีเขียวต้องหายไปเสมอ

ประเด็นสุดท้าย ที่ผมเคยได้ยินมา ที่เวลาพอมีคนกรุงเทพคนหนึ่งมาเที่ยวเชียงใหม่ สิ่งแรกที่แกบ่นคือเชียงใหม่เดี๋ยวนี้แย่ มีแต่ห้าง ความเป็นเชียงใหม่สูญหายไปหมดแล้ว ในฐานะคนต่างจังหวัด ผมก็แสดงความเห็นได้ว่า คุณอยากให้ต่างจังหวัดเขาพัฒนาเมืองเพื่อสนองความฟินของคนกรุงเทพเท่านั้นเหรอ?

คนที่ทัศนคติแบบนี้ ควรลองจินตนาการมุมมองของคนในท้องที่นั้น ๆ ด้วย ว่าเขาก็ต้องการพัฒนาเช่นกัน แล้วลองคิดดูว่าคุณเอาเกณฑ์อะไรไปตัดสินว่าทำไมท้องที่นั้น ๆ ถึงไม่ควรมีห้าง

บางคนอาจจะยกประเด็นที่ว่าการมาของห้าง เป็นการทำลายธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กของคนในชุมชนหรือท้องที่ เพราะว่าห้างจะแย่งลูกค้า และใช้การแข่งขันที่มีต้นทุนต่ำกว่าในการทำให้ธุรกิจท้องถิ่นเอาตัวรอดไม่ได้ ประเด็นนี้จริง ๆ แล้วเป็นคนละประเด็น ที่เราต้องมาถกเถียงกันแยกต่างหากเพราะว่ามันมีตัวแปรมากกว่าเรื่องของห้าง แต่จะมีเรื่อง "ร้านอะไร(ในห้าง)ทำร้ายธุรกิจท้องถิ่น" (ซึ่งประเด็นนี้มันมีทางออก: นั่นคือคอมมิวนิตี้มอล ซึ่งก็เป็นห้าง แต่เป็นห้างที่เกิดจากท้องถิ่นได้ด้วย)

สรุปสั้น ๆ การมีห้างเยอะไม่ใช่ว่าเป็นข้อเสียให้กับบ้านเมือง แต่ในหลายกรณีมันเป็นการตอบโจทย์ให้กับบ้านเมืองที่ขาดพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางชุมชนเสียมากกว่า เพียงแต่ในกรณีของห้าง เอกชนทำหน้าที่แทนรัฐบาล และรับความเสี่ยงทางตลาดแทนรัฐบาลอีกด้วย

กาดหลวง (ตลาดสด) คือศูนย์กลางชุมชนรูปแบบหนึ่ง (ที่มาภาพ)
- - - - -

ป.ล. หลายคนอาจจะสงสัยว่ากรณีของไทย ทำไมผมไม่เรียกโรงเรียน หรือวัด เป็นศูนย์กลางชุมชน ก็คงต้องตอบว่าสถานที่เหล่านี้ไม่อำนวยต่อกิจกรรมทางการค้า ซึ่งเป็นหัวใจหลักของศูนย์กลางชุมชนโดยนิยามครับ (ลองจินตนาการร้านอาหาร หรือร้านขายเสื้อผ้าในวัด หรือโรงเรียนสิ)

ป.ล. 2 เรื่องของพื้นที่สีเขียว ถ้าหากต้องการถกเถียงกันจริง ๆ มันต้องไม่โจมตีเพียงแค่ห้าง แต่ต้องโจมตีสิ่งก่อสร้างทุกชนิด ซึ่งรวมถึงบ้านเดี่ยวเพื่อการอยู่อาศัย ตึกแถว โรงเรียน วัด และคอนโดด้วยครับ ซึ่งเอาจริง ๆ เป็นอีกประเด็นเกี่ยวกับการจัดการผังเมืองที่น่าสนใจเช่นกัน เอาไว้วันหลังผมจะกลับมาเขียนถ้ามีเวลาครับ ^^

ป.ล. 3 เรายังไมไ่ด้เริ่มพูดถึงผลดีต่อเศรษฐกิจด้วยนะครับ แต่คิดว่ายาวเกินไปละ :p 


- - - - -

TL;DR ยาวไปกรูไม่อ่าน
  • ข้อดีห้างเยอะกว่าข้อเสีย ทำหน้าที่แทนศูนย์กลางของชุมชน ไม่ใช่แค่การค้าขายอย่างเดียว
  • เมืองนอกรัฐถือที่ดินกลางเมืองเยอะ ง่ายต่อการจัดสรรที่เพื่อชุมชน
  • เมืองนอกอากาศเย็น ทำจัตุรัสมาแล้วคนใช้เยอะ อากาศร้อนทำไปคนก็ไม่ใช้
  • ห้าง ไม่ได้ทำให้พื้นที่สีเขียวหายไป การทำห้างให้เข้ากับพื้นที่สีเขียวพร้อม ๆ กันทำได้
  • ต่างจังหวัดมีห้างไม่ได้แปลว่าจะสูญเสียอัตลักษณ์ของตัวเองไป


2 comments:

  1. อ่านแล้วผมกลับนึกต่อถึงสถานการณ์ในสหราชอาณาจักร ที่มักมองกันว่าศูนย์การค้าขนาดใหญ่เป็นสาเหตุของความเสื่อมถอยของศูนย์กลางเมืองดั้งเดิม เพราะดึงผู้คนและกิจกรรมการค้าขายออกไปจาก high street

    ReplyDelete
  2. ถูกต้องครับ ผมเลยติดวงเล็บไว้ข้างบนว่าถ้าห้างมาแล้ว high street ดันยาก แต่ก็ใช่ว่า high street จะดึงคนกลับไม่ได้ literature ใหม่ๆเริ่มมีเรื่องห้างเจ๊งเพราะการกลับมาของ high street ครับ

    ReplyDelete