Sunday, 11 January 2015

บทเรียนจากการทำพาสปอร์ตหายตอนเที่ยวที่ญี่ปุ่น

เมื่อช่วงสงกรานต์ปี 2013 ผมได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัว ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรจนกระทั่งวันหนึ่งมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง นั่นก็คือการทำพาสปอร์ตหาย แต่ที่แย่ไปกว่านั้น คือดันทำพาสปอร์ตหายในเพียงแค่ 18 ชั่วโมงก่อนเที่ยวบินบินกลับไทยพอดี ผมเลยอยากจะเขียนถึงวิธีการแก้ไขปัญหาในครั้งนั้น ซึ่งผิดแปลกกว่าปรกติตรงที่ผมแทบจะสื่อสารกับคนที่ช่วยผมเลยแทบไม่ได้ และบทเรียนที่ผมเรียนรู้สำหรับการเดินทางครั้งต่อไป หากเกิดเหตุในลักษณะเดียวกันอีก

จุดเริ่มต้นของเรื่อง

วันที่ผมทำพาสปอร์ตหาย เป็นวันเกือบสุดท้ายของทริปพอดี เรียกได้ว่าเป็นวันที่ครอบครัวผมใช้เก็บรายละเอียดจากการเที่ยวทั้งหมด คืออะไรไม่ได้ทำ ไม่ได้กิน ไม่ได้ซื้อ ก็รีบจัดการเสียให้เสร็จภายในวันนี้ ตารางการเที่ยววันนั้นจึงค่อนข้างแน่นและสับสนเล็กน้อย

ตัวผมเองก็มีตารางที่ไม่เหมือนกับคนอื่นในครอบครัว เพราะผมต้องเจอเพื่อนถึงสองกลุ่มในวันเดียวกันอีก โดยกลุ่มแรกเจอกันแถว ๆ Akihabara ตอนเที่ยงเพื่อหาขนมกินและแวะดูของเล่น ๆ ส่วนอีกกลุ่มไปนัดเจอกันที่ย่าน Ginza ก่อนแล้วค่อยต่อด้วย Hard Rock Cafe ย่าน Ueno ตอนเย็น


ตอนแรก ผมก็ไปทานข้าวเที่ยงกับครอบครัวก่อน ซึ่งวั้นนั้นเลือกที่จะไปกินสเต็คที่ร้านไหนไม่รู้ที่คนไทยชอบไปกัน วันนั้นผมจำด้วยความที่ว่ากะจะไปช็อปปิ้งพวกของแบรนด์อะไรต่าง ๆ ในวันนั้น เลยได้พกพาสปอร์ตเผื่อไปทำ TAX Refund


ร้านอะไรหว่าจำไม่ได้ มีแต่ภาพ :P
ทีนี้หลังจากที่กินข้าวเสร็จเกิดการเปลี่ยนใจ และเถียงกันเล็กน้อย ว่าจะไปไหนต่อหรืออย่างไร ตอนแรกทุกคนกะจะไปเดินย่าน Akihabara แล้วต่อด้วย Giza ต่อ แต่เพราะบางคนเหนื่อยอยากจะกลับไปโรงแรมก่อน โดยทั้งหมดนี้เกิดระหว่างตอนนั่งอยู่บนรถไฟสาย Yamanote Line พอดี ด้วยความที่เราเกรงใจคนบนรถไฟไม่อยากจะพูดอะไรเสียงดัง และความรีบร้อนเล็กน้อยและไม่ได้คุยกันอย่างละเอียด พอรถไฟบังเอิญผ่านสถานี Akihabara ระหว่างตกลงเรื่องกันอยู่พอดี ผมก็เลยโดดออกจากรถไฟก่อนเลย โดยส่งสัญญาณมือบอกกับพ่อแม่ว่าเดี๋ยวค่อยคุยกันทาง SMS ถ้ามีแผนอะไรต่อ



ด้วยความรีบ งง และด้วยความที่ยังตกลงสถานที่กันไม่เสร็จ เลยไม่ทันคิดเรื่องการสลับเปลี่ยนของที่จำเป็นสำหรับวันนั้น กระเป๋าเป้ที่ผมควรจะสะพายอยู่ดันไปอยู่กับพ่อแม่ ส่วนตัวพาสปอร์ตไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไรดันอยู่ในมือผมอยู่เลย ผมเลยเอาพาสปอร์ตยัดเข้ากระเป๋ากางเกงด้านหน้า ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ถนัดที่จะทำเลย

จริง ๆ แล้วนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนะครับ แต่สำหรับผมมันไม่ชินที่จะไม่มีกระเป๋าสะพาย แต่ดันมีพาสปอร์ตอยู่ในกระเป๋ากางเกง


จังหวะลืมพาสปอร์ต

เวลาประมาณบ่ายสองกว่า ๆ ผมเจอเพื่อนกลุ่มแรกที่ย่าน Akihabara หลังจากที่หาขนมกินและเดินดูพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แล้วไม่ได้ตัดสินใจซื้ออะไรแม้แต่น้อย ผมกับเพื่อนก็เลยลองไปเล่นเกมหนีบ ๆ ตุ๊กตาที่ร้านพวก Sega Arcade ย่านนั้น ทีนี้เมื่อถึงตาผมลองเล่นมั่ง ด้วยอารมณ์เอาจริง ผมเลยควักเอาของที่ตุง ๆ อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหน้าออก นั่นก็คือพาสปอร์ตนี่เอง แล้วเอาไปวางไว้บนตู้เกมหนีบ ๆ ตุ๊กตานั่นล่ะครับ

ภาพสถานที่เกิดเหตุ ตอนนี้คือบนตู้นี้จะมีพาสปอร์ตผมอยู่

แต่เพื่อนของผมไม่ยอม ลองเล่นอีกหลายครั้ง จนมีครั้งที่มันชัวร์จริง ๆ ว่ามันหนีบได้แน่ ผมก็เลยควักเอามือถือออกมาถ่ายทั้งภาพและวิดีโอตอนมันชัวร์ว่าทำได้จริง ๆ และแล้วมันก็ทำได้จริงครับ ได้ตุ๊กตาหมีริรัคคุมะตัวเบอเร้อมาเลย

หลังจากบอกลาเพื่อนคนนี้แล้ว ผมก็รีบออกไป Ginza เพื่อไปเจอเพื่อนกรุ๊ปต่อไป เดินไปเดินมาเรียบร้อยหมดแล้ว ออกไปเจอเพื่อนอีกคนที่อยากจะได้เสื้อ Hard Rock Cafe ย่าน Ueno แล้วกินข้าวเย็นต่อจนดึก ฝนก็ดันตกหนักระดับโคตรพ่อโคตรแม่พอดี (ก็เพิ่งได้เห็นว่าตอนฝนตกหนักระดับนั้น ญี่ปุ่นที่ว่าวางแผนระบบต่าง ๆ ดีแล้ว หน้าสถานี Ueno ก็น้ำท่วมไหลเละเหมือนกัน) ทุกคนก็รีบแยกย้ายกันกลับ ผมก็ขึ้นรถไฟตรงมาสู่โรงแรมย่าน Shinjuku ขึ้นรถไฟได้ตอนประมาณ 5 ทุ่มพอดี

ร้านอะไรไม่รู้อยู่ใกล้ ๆ สถานีกินซ่า จำไม่ได้อีกเช่นกัน
พอมาถึงที่โรงแรม ก็เห็นทุกคนกำลังจัดกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน ผมด้วยความที่ค่อนข้างคิดว่าตัวเองโปรเรื่องการจัดของมาก ก็ขอนั่งชิลก่อนแป๊บนึง เพราะเหนื่อยจากการเดินทางเจอเพื่อนมากมายไม่หยุดทั้งบ่าย และกว่าจะเริ่มมาจัดของจริง ๆ ก็ประมาณตี 1 ครึ่ง และเมื่อนั้นล่ะครับ ก็รู้ตัวว่าอะไรมันหายไป


เริ่มหาพาสปอร์ต

สิ่งแรกที่รู้สึกตอนนั้นคือพาสปอร์ตมันต้องอยู่ที่ไหนซักแห่งในห้องพักของโรงแรมแน่นอน ก็รื้อมันทุกอย่าง ซอกกระเป๋าโน้นนี้นั้น ลิ้นชัก ใต้เตียง แต่สุดท้ายก็ยังไม่เจอ เลยพอสรุปได้ว่าพาสปอร์ตมันต้องอยู่ข้างนอกห้องแน่ ๆ เลยเริ่ม Backtrack ไปว่าวันนี้เราไปไหนมาบ้าง ขั้นแรกก่อนเลยคือการถามพ่อแม่ว่าไม่ได้เปิดกระเป๋าเป้ที่เราได้ฝากเอาไว้ใช่ไหม (เผื่อมันไหลหล่นออกไป) แต่สุดท้ายก็นึกขึ้นได้ว่าเราเอามันติดกระเป๋ากางเกงมาวันนี้นี่

จังหวะนั้นมันก็อดคิดไม่ได้ ว่าทำไมเวลาเราเที่ยวคนเดียวแทบทั้งยุโรป ทำไมเราไม่เคยมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ แบบนี้ หรือเป็นเพราะว่าเราขาดสติและสมาธิหากเราเดินทางกับพ่อแม่ ณ จุดนั้นผมเลยบอกกับพ่อแม่เลยว่าขอเงินหน่อย จะไปตามหาพาสปอร์ตเอง และไม่ต้องตามมาด้วย เพราะรู้สึกว่าเวลาทำอะไรคนเดียวมันมีสติมากกว่า สิ่งที่พกไปตอนนี้มีเพียงแค่ Pocket Wi-Fi, มือถือ กับเงินเท่านั้น

เมื่อผมเดินลงมาที่ล็อบบี้ของโรงแรม สิ่งแรกที่ผมทำคือผมพยายามคุยกับ Concierge ของโรงแรม แต่ระหว่างที่รอคิวคุยกับ Concierge ผมก็ได้ส่งข้อความหาเพื่อนทั้งหลายที่เจอวันนั้น ว่าเห็นผมควักพาสปอร์ตออกมาให้เห็น หรือพูดถึงพาสปอร์ตไหม ในขณะเดียวกันผมก็ได้ลองเปิดดูรูปถ่ายทั้งหมดในมือถือวันนั้น

ปรากฎว่ามันมีภาพ ๆ นึงที่ทำให้ผมจำเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องเอาพาสปอร์ตออกจากกระเป๋ากางเกงได้พอดี นั่นก็คือภาพตู้เกมหนีบตุ๊กตา

เมื่อถึงคิวผม ผมก็พยายามให้ Concierge ช่วยหาเบอร์โทรร้านเกมนั่นให้ได้ แต่ขอฝากแจ้งตำรวจให้หน่อยกรณีพาสปอร์ตมันหายจริง (ตอนนั้นคิดไว้ว่าแจ้งก่อนดีกว่า หายไม่หายค่อยว่ากัน) แต่เหมือนว่า Concierge โรงแรมคนนั้นไม่ค่อยอยากทำอะไรเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าเหตุการณ์ของผมมันเกินหน้าที่เขา

ไม่เป็นไร ผมเลยให้เขาเรียกแท็กซี่ให้แทน แต่สิ่งที่น่าตกใจอีกอย่างคือแท็กซี่ญี่ปุ่น พี่แกพูด Zero English เลยจริง ๆ คือขนาดเขียนคำว่า Akihabara Station เป็นภาษาอังกฤษให้ในมือถือยังไม่สามารถ โชคดีที่มี Pocket Wi-Fi ติดมาด้วย ผมเลยจัดการยัดทุกอย่างเข้าไปใน Google Translate แล้วก็หวังว่าที่แปลออกมานั้นเขาจะรู้เรื่อง

ระหว่างทาง เหมือนคนขับแท็กซี่คนนี้ก็พยายามจะสื่อสารอะไรกับผม แต่ผมก็ไม่เข้าใจ แต่เหมือนว่าการสื่อสารทุกอย่างจะเป็นการสื่อสารทางเดียวหมด คือผมพิมพ์สิ่งที่ผมต้องการบอกเข้าไปใน Google Translate แล้วก็สั่งให้มันแปลออกมา บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจว่าผมต้องการจะสื่ออะไร เพราะ Google Translate ก็ไม่ได้สมบูรณ์ 100% ผมเลยต้องเปลี่ยนรูปประโยคที่ต้องการจะแปล 2-3 ครั้ง

เช่น: เวลาใส่เข้าไปว่า "I forgot my passport in a shop near Akihabara Station earlier today." พี่แท็กซี่ไม่เข้าใจ ผมเลยลองเปลี่ยนเป็น "I lost my passport around Akihabara Station." พี่แกเลยถึงบางอ้อ


ตามล่าหาพาสปอร์ต

เมื่อแท็กซี่ดรอปผมแถว ๆ บริเวณถนนหลักใกล้ ๆ กับ Akihabara Station แล้ว ก็โดนค่าแท็กซี่ไปประมาณ 2,200 กว่าบาท ฝนแถวนั้นก็เริ่มตกหนักพอสมควร เมื่อผมเดินออกจากแท็กซี่ไปเหมือนว่าแท็กซี่ก็ไม่ยอมไปไหน จอดอยู่บริเวณนั้นซักพัก ไม่รู้ว่าเขาลังเลอะไรอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนั้นฝนตกหนักสุด ๆ ผมเลยไม่ใส่ใจแท็กซี่คันนี้เท่าไหร่

สิ่งที่ตกใจตอนแรกคือเราคาดว่าร้านแถวนั้นน่าจะเปิดให้บริการกันอยู่ ด้วยความที่ว่าเมืองอย่างโตเกียวน่าจะเป็นเมืองที่ไม่หลับไหล อารมณ์แบบนิวยอร์คหรือฮ่องกง แต่ไม่เลยครับ ย่าน Akihabara Station ตอนกลางคืน ประมาณตี 2 เกือบจะตีสามแล้วทุกอย่างปิดหมดจริง ๆ

ปิดหมดทุกร้านจริง ๆ แต่ร้านต้องสงสัยอยู่ตรงกลาง
ด้วยความที่ทำอะไรไม่ได้ ผมก็เลยได้แต่เดินหาร้าน Sega Arcade แถว ๆ นั้น ตามที่มี Location Tagging ไว้ในรูปภาพที่ถ่ายไว้ตอนบ่าย ปรากฎว่าแถว ๆ ที่ผมจำได้ว่าได้เดินผ่าน มีร้านประเภท Game Arcade ติดกันอยู่สองสามร้าน (Tag ก็ไม่ได้แม่นอะไร) แล้วหน้าร้านก็ดันเหมือนกันอีก ผมก็ได้แต่ลองเคาะ ๆ หน้าประตูเหล็กที่เลื่อนลงมาปิดหน้าร้านแล้ว

เปิดดู Location เพื่อย้อนกลับไป ตำแหน่งก็ไม่แม่นมากอะไร (ไปอยู่ฝั่งตรงข้ามซะเฉย)
เพื่อยืนยันอีกที ผมเลยติดต่อเพื่อนชาวไทยที่ได้มาเล่นเกมหนีบ ๆ ตุ๊กตากับผมก่อนหน้า ถ่ายรูปหน้าร้านตอนมันปิดแล้วให้เขาดู ถามว่านี่มันคือร้านที่เราได้ไปเล่นเกมมาหรือเปล่า แต่ก็ตามคาด ไม่มีใครจำได้จากรูปภาพหน้าร้านที่มันปิดได้หรอก แต่ก็ยังดีที่ได้รับคำยืนยันว่าร้านที่เราไปเล่นมันคือ Sega Arcade ที่ข้างในด้านขวาของร้านจะมีบันไดเดินขึ้นไปชั้นบนได้

สุดท้ายไม่รู้จะทำอย่างไรจริง ๆ ผมเลยตัดสินใจเดินต่อไปที่สถานีตำรวจย่าน Akihabara กลางฝน ซึ่งโชคดีที่มันอยู่ไม่ไกลกับร้านและสถานีมากเพียงแค่ไม่กี่บล็อค เมื่อเดินเข้าไปก็โชคดีเห็นตำรวจอยู่ในสถานี 2-3 คนกำลังวุ่นวายกับการจับคนเมาหรืออะไรซักอย่าง ผมก็เลยนั่งรอที่ม้านั่งข้าง ๆ


ขอความช่วยเหลือจากตำรวจญี่ปุ่น

สถานีตำรวจญี่ปุ่นที่นี่ ดูไม่ค่อยต่างกับพวกสำนักงานเทศบาลในไทยเลย คือจะเป็นโถงโล่ง ๆ มีม้านั่งข้างซ้ายและขวา ข้างหน้าก็จะเป็นเค้าท์เตอร์ และก็มีนายตำรวจอยู่ 5-6 คนยืนอยู่หลังเค้าท์เตอร์ หลังจากที่นั่งรอซักพัก และตำรวจหายวุ่นวายจากเคสเมาแล้ว ตำรวจข้างหน้าก็โบกมือเรียกผม

ตามคาด ... ตำรวจไม่พูดภาษาอังกฤษซักคำ ผมก็เลยใช้สูตรเดิมคือควักมือถือออกมา แล้วก็ใช้ Google Translate อย่างเดียว ซักพักพอตำรวจจับใจความได้ว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับพาสปอร์ต พี่แกเลยควักโทรศัพท์มา แล้วโทรหา Interpreter หรือล่าม แล้วให้ผมพูดอธิบายเหตุการณ์กับล่าม จากนั้นล่ามก็จะให้ผมยื่นโทรศัพท์ให้นายตำรวจต่ออีกที

ถึงจุด ๆ หนึ่ง ล่ามบอกกับผมว่าผมสามารถรายงานว่าพาสปอร์ตหายได้ แต่นั่นก็หมายความว่าพาสปอร์ตต้องหายจริง ๆ และถ้าเจอทีหลังจะมีปัญหา ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเพราะอะไรถ้าผมรายงานพาสปอร์ตหายแล้ว แต่มาเจอทีหลังจะมีปัญหา ผมเลยแอบขอต่อรองว่าขอให้เขาช่วยติดต่อร้านที่ผมน่าจะทำพาสปอร์ตหายให้หน่อยได้ไหม ล่ามเหมือนจะโอเค แต่ก็คุยกับตำรวจซะนานมาก ประมาณ 5 นาทีได้ จากนั้นตำรวจที่สถานี ก็กางแผนที่ออกมาให้ผมดู แล้ววง ๆ ว่า Sega Arcade/Club Sega นี่มันมีอยู่หลายอัน ผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าผมลืมไว้อันไหน

ตำรวจเลยเลือกที่จะโทรไปสาขาหนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่าสาขาไหน แต่คำตอบที่ได้คือไม่มีพาสปอร์ต ด้วยความกังวลที่มากกว่าเดิม และกลัวว่าตำรวจจะเลิกช่วยหา ผมก็เลยโชว์รูปภาพ และใช้ Google Translate แปลอีกรอบว่าสาขาที่ไปมันมีบันไดทางขวา และน่าจะมีหลายชั้น

ตำรวจเลยลองเลือกโทรอีกรอบ รอบนี้พี่แกคุยแป๊บเดียวก็ทำเสียงสูงขึ้น จากนั้นก็บอกให้ผมเขียนชื่อในกระดาษ ณ จุดนั้นคือโคตรดีใจเลยครับ ชัวร์แล้วจริง ๆ ว่าต้องเป็นพาสปอร์ตของผมแน่ ๆ ผมเลยรีบสะกดชื่อให้ทันที พร้อมกับเขียนว่าเป็น THAILAND Passport

พอยืนยันแล้วว่าเป็นพาสปอร์ตผม มันฮาตรงที่ว่าตำรวจที่คุยโทรศัพท์กับร้านเกมเหมือนจะดีใจมาก ตะโกนออกมาเลย แล้วก็รีบหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องที่ยังมีล่ามรอฟังอยู่มาคุย แล้วยกนิ้วโป้งให้ผมพร้อม ๆ กัน ... จากนั้นพี่แกก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผม ล่ามก็บอกว่าให้ผมรอที่นี่เลย เพราะพนักงานจากร้านเกมจะเดินมาหาที่สถานีตำรวจแล้วเอาพาสปอร์ตมาให้

ครับ ไม่ถึง 20 นาทีพนักงานร้านเกมก็มาถึง พร้อมกับเอาพาสปอร์ตของผมมาให้ ผมก็ได้แต่ก้มหัวแล้วแต๊งกิ้วรัว ๆ ทั้งกับพนักงานและตำรวจ ส่วนสีหน้าตำรวจสองสามคนที่ดูเคร่งเครียดตลอดก็เริ่มมียิ้มให้เห็นก็ตอนนี้

สุดท้ายก็ได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย :')

สรุป บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์พาสปอร์ตหายในครั้งนี้

  • พกพาสปอร์ตเมื่อจำเป็นเท่านั้น แต่ควรมีสำเนาติดตัวอยู่ตลอดเวลา
  • ถ้าพกพาสปอร์ต ควรเก็บมันไว้ในที่ที่คุ้นเคยอยู่เสมอ ถ้าไม่คุ้น ก็อย่าควักมันเข้า ๆ ออก ๆ
  • ถ้าสงสัยหรือว่ากลัวว่าจะลืมอะไร ให้บอกเพื่อนให้ช่วยเตือนเสมอ ๆ ด้วย
  • เวลาไปเที่ยว ไปเหยียบที่ไหน เข้าร้านอะไร กินร้านไหนมา ควรอย่างน้อยถ่ายรูปไว้ด้วยอย่างน้อยซักรูปก็ยังดี เผื่อเวลาลืมของ หรือทำอะไรผิดพลาดจะได้มีรูปภาพ และวันเวลาเอาไว้คอนเฟิร์มสถานที่ได้ แต่ให้ดีที่สุดควรหยิบมือถือมาถ่ายรูป เพราะจะได้ติด Location Tagging มาด้วย
  • Google Translate และอินเทอร์เน็ตมือถือช่วยชีวิตคุณได้
  • เวลามีการเปลี่ยนแผนกระทันหัน ให้หาที่คุยและตกลงกันดี ๆ ไม่ใช่เดินไปคุยไปหรือรีบแยกก่อนที่ทุกอย่างจะเคลียร์แล้ว 100% เพื่อป้องกันการงงสะสม กรณีผมคือพกพาสปอร์ตมาแต่ไม่พกกระเป๋ามาเพราะต้องแยกย้านกันกระทันหัน
  • ในพาสปอร์ตหน้าแรก ๆ ควรมีเขียนเป็นภาษาท้องถิ่นประเทศที่เราเที่ยวเลยว่าถ้าพาสปอร์ตหาย ให้ช่วยติดต่อโรงแรมอะไร แปะด้วย Post-it ไว้เลย กรณีผมถ้าผมทำแบบนี้แต่แรก ร้านเกมอาจจะโทรหาโรงแรมผมตั้งแต่หัวค่ำแล้วด้วยซ้ำ

1 comment:

  1. เล่าได้เห็นภาพ สนุกมากเลยค่ะ ลุ้นตามว่าจะหาเจอมั้ย
    ( แหะ เหตุการณ์จริงตอนนั้นคงไม่สนุกเอาซะเลย ทั้งดึก ทั้งเหนื่อย )


    โชคดีมากๆที่ได้คืนนะคะ มีสติดีมากเลยค่ะ
    ถ้าเป็นตัวเอง อาจจะถอดใจตอนเห็นร้านปิดแล้ว
    ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์นะคะ :)

    ReplyDelete