Thursday, 18 July 2013

อีกเรื่องที่อยากบ่น: ทำไมเมืองไทยถึงไม่มีบัตรเครดิต-เดบิตแบบ Chip and PIN

ก่อนหน้านี้ผมเคยบ่นเรื่อง "สมุดคู่ฝาก" หรือบัญชีธนาคารในประเทศไทยไปแล้ว (ว่าเรามีไปทำไม) ตอนนี้ขอบ่นอีกเรื่องที่หลาย ๆ คนอาจจะไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหา จนกระทั่งออกมาเที่ยวกลุ่มประเทศในยุโรป ออสเตรเลีย หรือสิงคโปร์ หรือไม่ก็เมื่อคุณโดนขโมยบัตรเดบิต หรือเครดิตการ์ดไปใช้แล้ว

ก่อนอื่น ต้องอธิบายก่อนว่าบัตรเดบิต กับเครดิต ที่เราใช้ในไทยกันเป็นอย่างไร?

บัตรเครดิตหรือเดบิตที่เราใช้ในไทยทุกวันนี้ (ณ​ เวลาที่เขียน) ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นบัตรเครดิตการ์ด เกือบทุกใบจะมีระบบชิปติดอยู่บนการ์ดแล้ว จะไม่มีก็มีแต่ American Express หรือ AMEX โดยธนาคารส่วนใหญ่ หรือผู้ให้บริการบัตรมักจะบอกว่าการมีชิป ทำให้ปลอมแปลงบัตรได้ยากขึ้น และมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริง เพราะบัตรแถบแม่เหล็กแบบเดิม การปลอมแปลงค่อนข้างที่จะมีต้นทุนที่ต่ำมาก

บัตรเครดิตแบบมีชิปติด ที่ใช้กันแพร่หลายในประเทศไทยแล้ว
ในส่วนของบัตรเดบิต หลาย ๆ ธนาคารไทยทุกวันนี้ยังให้บัตรเดบิตเป็นบัตรแบบแถบแม่เหล็กปรกติ เรื่องนี้ก็น่าสนใจเหมือนกันว่าทำไมยังไม่มีการเปลี่ยนมาใช้ชิปแบบบัตรเครดิต (ตอนนี้ บางธนาคารก็อาจจะมีการนำชิปมาแปะบ้างแล้ว--มั้ง?​)



แล้วทุกวันนี้เราใช้บัตรเดบิต และเครดิตในไทยกันอย่างไร?

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับกรณีเมืองไทย ก็คือแม้ว่าบัตรของเราจะมีชิปติดแล้ว และเครื่องอ่านบัตร (POS) ตามร้านค้าก็สามารถอ่านชิปกันได้หมดแล้ว เรายังใช้วิธีใช้บัตรเดรดิตไม่ต่างกับวิธีเดิมสมัยมีแถบแม่เหล็ก นั่นก็คือ "เราต้องเซ็นลายเซ็น"

ใช่ การมีชิปมันปลอดภัยกว่าก็จริง แต่ถ้าถามถึงกรณีที่ไม่เกี่ยวกับการปลอมแปลงบัตร แต่เกี่ยวกับแค่ว่าขโมยบัตรเครดิตคนอื่นไปใช้ ถ้าปลอมลายเซ็นเก่งแล้ว มันก็ไม่มีวิธียืนยันทางอื่นเลย ว่าคนที่ใช้อยู่ เป็นเจ้าของบัตรจริง ๆ ว่าง่าย ๆ แค่หยิบบัตรของคนอื่นที่ไม่รู้ตัวว่าบัตรตัวเองหาย แล้วยังไม่ได้ยกเลิกบัตรนั้นไป ก็สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยได้ทันที

จะใช้บัตรทั้งที ยังต้องหาปากกา เซ็นสลิปที่งอ ๆ เขียนยาก ๆ อีก
นอกเหนือจากความปลอดภัยในด้านการใช้งานทั่วไปที่ต่ำแล้ว วิธีการเซ็นสลิปบัตรเครดิต ค่อนข้างรุงรัง และน่ารำคาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพนักงานต้องหาปากกาให้เรา ปากกาเขียนไม่ออกบ้าง ไม่มีที่เขียนบ้าง ไม่เราก็มือไม่ว่าง หรือไม่สลิปบิลบัตรเครดิตก็งอซะ

ที่พูดๆ มานี่ อีกประเทศที่ยังใช้ระบบเหมือนๆ กับเรา ก็คือในสหรัฐฯ ครับ ที่ส่วนใหญ่คนยังใช้บัตรเครดิตแบบแถบแม่เหล็กกันอยู่เลย :/

แล้วอะไรคือบัตรเครดิตหรือเดบิตแบบ Chip and PIN ล่ะ

เวลาคุณจะถอนเงินจากตู้ ATM คุณจะต้องมีรหัส 4 หลักใช่ไหม และสาเหตุใดเราถึงต้องมีรหัส 4 หลักนี้?​ ก็เพื่อให้คนที่ได้บัตร ATM เราไป ไม่สามารถกดเงินของออกมาได้ทันทีที่แอบขโมยบัตรเรามาได้ เว้นแต่ว่าเขารู้รหัส 4 หลักนี้

เช่นกัน Chip and PIN (ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และ NZ เรียกว่า EFTPOS) ก็คือบัตรเครดิตที่จะสามารถใช้ได้ ก็ต่อเมื่อเจ้าของบัตรกดรหัส PIN 4 หลักนี้ ณ จุดที่จะซื้อสินค้า ข้อดีที่เห็นได้ชัดแต่แรกก็คือความปลอดภัย ที่คนที่ได้บัตรเราไปครอบครอง จะไม่สามารถใช้บัตรเราได้ทันที จนกว่าจะลองกดผิดซัก 3 ครั้ง แล้วบัตรก็จะถูกระงับการใช้งานชั่วคราวโดยทันที ปลอดภัยกว่าการใช้ลายเซ็นมากมาย

ประเทศที่มีการใช้งาน Chip and PIN จะมีอุปกรณ์ตัวนี้ ให้ลูกค้าเสียบบัตรเข้าไป แล้วก็กด PIN 4 หลักของตัวเองลงไป สิงคโปร์บางบัตรจะมี PIN มากถึง 6 หลัก
นอกจากปลอดภัยกว่าแล้ว อะไรคือข้อดีของ Chip and PIN

ส่วนตัวแล้ว ผมว่าการที่เรากดรหัส มันสะดวกกว่าการต้องมาน่ังเซ็นสลิปบัตรเครดิต ที่สำคัญ เมื่อเปลี่ยนมาใช้ระบบ Chip and PIN แล้ว ตามร้านอาหาร พนักงานจะไม่สามารถเอาบัตรเครดิตของเรากลับไปหลังเค้าท์เตอร์โดยที่เรามองไม่เห็นได้ แต่พนักงานกลับต้องเอาเครื่องอ่าน Chip and PIN มาให้เราถึงโต๊ะอาหาร ทำให้เราแน่ใจได้ว่า บัตรของเรา อยู่กับมือเราตลอดเวลา ไม่ถูกเอาไปถ่ายเอกสาร หรือเอาไปปลอมแปลงข้อมูลแต่อย่างใด

ระบบ Chip and PIN ยังจะทำให้ผู้ให้บริการ มีอิสระมากขึ้นกับขั้นตอนการจ่ายเงินของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกตู้หรือเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติต่าง ๆ จะไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พนักงานอีกต่อไป แต่เพิ่มแค่ช่องเสียบบัตร Chip and PIN ลงไปในตู้ ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยืนยันลายเซ็นอะไรให้วุ่นวายอีกต่อไป

คนที่พกบัตรเครดิตไทย มาเที่ยวในประเทศที่ใช้ระบบ Chip and PIN ในหลายประเทศจะพบปัญหา นั่นก็คือจะใช้เครื่องเติมเงิน หรือซื้อตั๋วระบบขนส่งผ่านทางตู้ด้วยบัตรเครดิตไม่ได้ เพราะว่าระบบของเรา มันไม่มี PIN ให้เรา แม้ว่ามันจะมี Chip (ชิป) ให้ก็ตาม สุดท้าย เราก็ต้องวุ่นวายกับการใช้เหรียญ และธนบัตรกับตู้เหล่านี้แทน แย่ไปกว่านั้นอีก ใครชอบขี่จักรยานตอนเที่ยว ถ้าไม่มี Chip and PIN จะใช้พวกจักรยานเช่าประจำเมืองได้ เช่น London Boris Bike

เมื่อคนไทยไปช็อปตามห้างต่าง ๆ หลาย ๆ ครั้งเมื่อใช้บัตรเครดิต จะโดนเรียกให้โชว์ ID ที่ติดรูปเรา เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของบัตรจริง (แต่ก็ยังใช้ได้ แต่พนักงานจะทำหน้ามุ่ยเพราะต้องไปหาปากกามาให้เรา)

London Boris Bike ตู้นี้ไม่รับเงินสด รับแต่บัตร Chip and PIN
ถ้ามันดีกว่าจริง ทำไมเราถึงไม่ใช้ Chip and PIN ล่ะ?

เออ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าถามว่าพวกเครื่อง POS ตามร้านอาหารของเมืองไทย รองรับบัตรประเภท Chip and PIN ไหม ก็ต้องตอบว่ารองรับแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ จากที่ผมได้ลองเอาบัตร Chip and PIN ของผมไปใช้ในเมืองไทย พบว่าเครื่องพวกนี้ จะถามหา PIN ของเรา แล้วเราก็ต้องขอพนักงานเอาเครื่องรูดบัตรมาให้เรา เพื่อที่เราจะได้กด PIN ของเราไป

แต่นี่มันไม่สะดวก เพราะเอาจริง ๆ แล้ว เครื่องพวกนี้ควรมี Num pad พิเศษให้ลูกค้าอีกด้าน อีกอย่าง ถ้าเราจะมีระบบ Chip and PIN ทุกวันนี้ มันคงไม่สะดวก เพราะลูกค้าจะต้องเข้าไปหลักเค้าท์เตอร์คิดเงิน เพื่อเข้าไปกด PIN เว้นแต่ว่าจะมีการเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องรูดบัตรพวกนี้ ให้กลายเป็นเครื่องไร้สาย และต่อเข้าเครือข่ายของ Visa/Mastercard ผ่านทาง 3G หรือ EDGE เอา (ซึ่งก็เป็นที่นิยมทำกันในยุโรป)

ร้านอาหารในยุโรป เมื่อเราจะจ่ายเงิน จะยื่นเครื่องนี้ให้เราใส่ PIN เราไปบนโต๊ะเราเลย

สรุป: ทำไมเราไม่มี Chip and PIN ใช้? สะดวกกว่า ปลอดภัยกว่า ต้นทุนก็แทบไม่ต่างกัน (หรือเปล่า?) :/ ใครรู้ตอบทีครับ



[อัพเดท]: ได้คุยรายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มเติมกับคนรอบตัวแล้ว เลยได้รื้อข้อมูลเพิ่ม เจอแหล่งข้อมูลน่าสนใจอีกแหล่งอยู่ที่เว็บ CardHub ซึ่งอธิบายข้อมูลไว้อย่างละเอียดเลยถึงความแตกต่างของระบบ Chip + Signature เหมือนของไทย กับ Chip + PIN

พอสรุปได้ตามนี้ครับ

  • ระบบ Chip + Signature ของไทย จริงๆแล้วเป็นเพียงแค่ stepping stone หรือระบบที่เข้ามาใช้ชั่วคราวก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นระบบ Chip + PIN ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้น เราคงจะต้องรอระบบตู้ ATM ทั้งประเทศเปลี่ยนมารองรับบัตรแบบนี้ก่อน (ATM ไทยยังเป็นระบบแถบแม่เหล็กเก่า)
  • Chip + Signature เป็นปัญหามากในยุโรป แต่ VISA บอกว่าร้านค้าที่บอกว่าไม่รับบัตรประเภทนี้ จริง ๆ ต้องรับ เพราะเป็นบัตรเครดิตเหมือนกัน คงอารมณ์เดียวกันกับร้านในไทยที่บอกว่าไม่รับบัตร Platinum อะไรประมาณนั้น

1 comment:

  1. ที่จีน เวลารูดบัตรเดรบิต ก็กด PIN ของ ATM ครับ ผมคิดว่าปลอดภัยดีครับ บ้านเราบัตร ATM หายต้องรีบอายัดเมื่อรู้ตัว แต่กว่าจะรู้ตัวคงสูญเงินหมดแล้ว ส่วนระบบ E Banking ในจีนมีการใช้ Hard Token ร่วมกับ OTP ด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง

    ReplyDelete