ก่อนอื่น ต้องอธิบายก่อนว่าบัตรเดบิต กับเครดิต ที่เราใช้ในไทยกันเป็นอย่างไร?
บัตรเครดิตหรือเดบิตที่เราใช้ในไทยทุกวันนี้ (ณ เวลาที่เขียน) ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นบัตรเครดิตการ์ด เกือบทุกใบจะมีระบบชิปติดอยู่บนการ์ดแล้ว จะไม่มีก็มีแต่ American Express หรือ AMEX โดยธนาคารส่วนใหญ่ หรือผู้ให้บริการบัตรมักจะบอกว่าการมีชิป ทำให้ปลอมแปลงบัตรได้ยากขึ้น และมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริง เพราะบัตรแถบแม่เหล็กแบบเดิม การปลอมแปลงค่อนข้างที่จะมีต้นทุนที่ต่ำมาก
![]() |
บัตรเครดิตแบบมีชิปติด ที่ใช้กันแพร่หลายในประเทศไทยแล้ว |
แล้วทุกวันนี้เราใช้บัตรเดบิต และเครดิตในไทยกันอย่างไร?
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับกรณีเมืองไทย ก็คือแม้ว่าบัตรของเราจะมีชิปติดแล้ว และเครื่องอ่านบัตร (POS) ตามร้านค้าก็สามารถอ่านชิปกันได้หมดแล้ว เรายังใช้วิธีใช้บัตรเดรดิตไม่ต่างกับวิธีเดิมสมัยมีแถบแม่เหล็ก นั่นก็คือ "เราต้องเซ็นลายเซ็น"
ใช่ การมีชิปมันปลอดภัยกว่าก็จริง แต่ถ้าถามถึงกรณีที่ไม่เกี่ยวกับการปลอมแปลงบัตร แต่เกี่ยวกับแค่ว่าขโมยบัตรเครดิตคนอื่นไปใช้ ถ้าปลอมลายเซ็นเก่งแล้ว มันก็ไม่มีวิธียืนยันทางอื่นเลย ว่าคนที่ใช้อยู่ เป็นเจ้าของบัตรจริง ๆ ว่าง่าย ๆ แค่หยิบบัตรของคนอื่นที่ไม่รู้ตัวว่าบัตรตัวเองหาย แล้วยังไม่ได้ยกเลิกบัตรนั้นไป ก็สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยได้ทันที
![]() |
จะใช้บัตรทั้งที ยังต้องหาปากกา เซ็นสลิปที่งอ ๆ เขียนยาก ๆ อีก |
ที่พูดๆ มานี่ อีกประเทศที่ยังใช้ระบบเหมือนๆ กับเรา ก็คือในสหรัฐฯ ครับ ที่ส่วนใหญ่คนยังใช้บัตรเครดิตแบบแถบแม่เหล็กกันอยู่เลย :/
แล้วอะไรคือบัตรเครดิตหรือเดบิตแบบ Chip and PIN ล่ะ
เวลาคุณจะถอนเงินจากตู้ ATM คุณจะต้องมีรหัส 4 หลักใช่ไหม และสาเหตุใดเราถึงต้องมีรหัส 4 หลักนี้? ก็เพื่อให้คนที่ได้บัตร ATM เราไป ไม่สามารถกดเงินของออกมาได้ทันทีที่แอบขโมยบัตรเรามาได้ เว้นแต่ว่าเขารู้รหัส 4 หลักนี้
เช่นกัน Chip and PIN (ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และ NZ เรียกว่า EFTPOS) ก็คือบัตรเครดิตที่จะสามารถใช้ได้ ก็ต่อเมื่อเจ้าของบัตรกดรหัส PIN 4 หลักนี้ ณ จุดที่จะซื้อสินค้า ข้อดีที่เห็นได้ชัดแต่แรกก็คือความปลอดภัย ที่คนที่ได้บัตรเราไปครอบครอง จะไม่สามารถใช้บัตรเราได้ทันที จนกว่าจะลองกดผิดซัก 3 ครั้ง แล้วบัตรก็จะถูกระงับการใช้งานชั่วคราวโดยทันที ปลอดภัยกว่าการใช้ลายเซ็นมากมาย
![]() |
ประเทศที่มีการใช้งาน Chip and PIN จะมีอุปกรณ์ตัวนี้ ให้ลูกค้าเสียบบัตรเข้าไป แล้วก็กด PIN 4 หลักของตัวเองลงไป สิงคโปร์บางบัตรจะมี PIN มากถึง 6 หลัก |
ส่วนตัวแล้ว ผมว่าการที่เรากดรหัส มันสะดวกกว่าการต้องมาน่ังเซ็นสลิปบัตรเครดิต ที่สำคัญ เมื่อเปลี่ยนมาใช้ระบบ Chip and PIN แล้ว ตามร้านอาหาร พนักงานจะไม่สามารถเอาบัตรเครดิตของเรากลับไปหลังเค้าท์เตอร์โดยที่เรามองไม่เห็นได้ แต่พนักงานกลับต้องเอาเครื่องอ่าน Chip and PIN มาให้เราถึงโต๊ะอาหาร ทำให้เราแน่ใจได้ว่า บัตรของเรา อยู่กับมือเราตลอดเวลา ไม่ถูกเอาไปถ่ายเอกสาร หรือเอาไปปลอมแปลงข้อมูลแต่อย่างใด
ระบบ Chip and PIN ยังจะทำให้ผู้ให้บริการ มีอิสระมากขึ้นกับขั้นตอนการจ่ายเงินของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกตู้หรือเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติต่าง ๆ จะไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พนักงานอีกต่อไป แต่เพิ่มแค่ช่องเสียบบัตร Chip and PIN ลงไปในตู้ ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยืนยันลายเซ็นอะไรให้วุ่นวายอีกต่อไป
คนที่พกบัตรเครดิตไทย มาเที่ยวในประเทศที่ใช้ระบบ Chip and PIN ในหลายประเทศจะพบปัญหา นั่นก็คือจะใช้เครื่องเติมเงิน หรือซื้อตั๋วระบบขนส่งผ่านทางตู้ด้วยบัตรเครดิตไม่ได้ เพราะว่าระบบของเรา มันไม่มี PIN ให้เรา แม้ว่ามันจะมี Chip (ชิป) ให้ก็ตาม สุดท้าย เราก็ต้องวุ่นวายกับการใช้เหรียญ และธนบัตรกับตู้เหล่านี้แทน แย่ไปกว่านั้นอีก ใครชอบขี่จักรยานตอนเที่ยว ถ้าไม่มี Chip and PIN จะใช้พวกจักรยานเช่าประจำเมืองได้ เช่น London Boris Bike
เมื่อคนไทยไปช็อปตามห้างต่าง ๆ หลาย ๆ ครั้งเมื่อใช้บัตรเครดิต จะโดนเรียกให้โชว์ ID ที่ติดรูปเรา เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของบัตรจริง (แต่ก็ยังใช้ได้ แต่พนักงานจะทำหน้ามุ่ยเพราะต้องไปหาปากกามาให้เรา)
![]() |
London Boris Bike ตู้นี้ไม่รับเงินสด รับแต่บัตร Chip and PIN |
เออ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าถามว่าพวกเครื่อง POS ตามร้านอาหารของเมืองไทย รองรับบัตรประเภท Chip and PIN ไหม ก็ต้องตอบว่ารองรับแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ จากที่ผมได้ลองเอาบัตร Chip and PIN ของผมไปใช้ในเมืองไทย พบว่าเครื่องพวกนี้ จะถามหา PIN ของเรา แล้วเราก็ต้องขอพนักงานเอาเครื่องรูดบัตรมาให้เรา เพื่อที่เราจะได้กด PIN ของเราไป
แต่นี่มันไม่สะดวก เพราะเอาจริง ๆ แล้ว เครื่องพวกนี้ควรมี Num pad พิเศษให้ลูกค้าอีกด้าน อีกอย่าง ถ้าเราจะมีระบบ Chip and PIN ทุกวันนี้ มันคงไม่สะดวก เพราะลูกค้าจะต้องเข้าไปหลักเค้าท์เตอร์คิดเงิน เพื่อเข้าไปกด PIN เว้นแต่ว่าจะมีการเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องรูดบัตรพวกนี้ ให้กลายเป็นเครื่องไร้สาย และต่อเข้าเครือข่ายของ Visa/Mastercard ผ่านทาง 3G หรือ EDGE เอา (ซึ่งก็เป็นที่นิยมทำกันในยุโรป)
ร้านอาหารในยุโรป เมื่อเราจะจ่ายเงิน จะยื่นเครื่องนี้ให้เราใส่ PIN เราไปบนโต๊ะเราเลย |
สรุป: ทำไมเราไม่มี Chip and PIN ใช้? สะดวกกว่า ปลอดภัยกว่า ต้นทุนก็แทบไม่ต่างกัน (หรือเปล่า?) :/ ใครรู้ตอบทีครับ
[อัพเดท]: ได้คุยรายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มเติมกับคนรอบตัวแล้ว เลยได้รื้อข้อมูลเพิ่ม เจอแหล่งข้อมูลน่าสนใจอีกแหล่งอยู่ที่เว็บ CardHub ซึ่งอธิบายข้อมูลไว้อย่างละเอียดเลยถึงความแตกต่างของระบบ Chip + Signature เหมือนของไทย กับ Chip + PIN
พอสรุปได้ตามนี้ครับ
- ระบบ Chip + Signature ของไทย จริงๆแล้วเป็นเพียงแค่ stepping stone หรือระบบที่เข้ามาใช้ชั่วคราวก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นระบบ Chip + PIN ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้น เราคงจะต้องรอระบบตู้ ATM ทั้งประเทศเปลี่ยนมารองรับบัตรแบบนี้ก่อน (ATM ไทยยังเป็นระบบแถบแม่เหล็กเก่า)
- Chip + Signature เป็นปัญหามากในยุโรป แต่ VISA บอกว่าร้านค้าที่บอกว่าไม่รับบัตรประเภทนี้ จริง ๆ ต้องรับ เพราะเป็นบัตรเครดิตเหมือนกัน คงอารมณ์เดียวกันกับร้านในไทยที่บอกว่าไม่รับบัตร Platinum อะไรประมาณนั้น
ที่จีน เวลารูดบัตรเดรบิต ก็กด PIN ของ ATM ครับ ผมคิดว่าปลอดภัยดีครับ บ้านเราบัตร ATM หายต้องรีบอายัดเมื่อรู้ตัว แต่กว่าจะรู้ตัวคงสูญเงินหมดแล้ว ส่วนระบบ E Banking ในจีนมีการใช้ Hard Token ร่วมกับ OTP ด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง
ReplyDelete